วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เมื่อปีใหม่....อีกครั้ง

     ในวาระดีถีขึ้นปีใหม่            ขออวยชัยให้ท่านจงสุขี
มีเงินทองเหลือใช้ตลอดปี            พบชีวีที่เป็นสุข...ตลอดกาล
               ขอขอบคุณ ทุกท่านที่ติดตาม    ดูบทความ อ่านบทกลอนที่เสนอ
       อาจจะผิดพลั้งบ้างเพราะเผลอเลอ    ช่วยเสนอแนะนำบ้างจักขอบคุณ...(ครับ)
           ผ่านไปแล้วสำหรับปี ๒๕๕๔  ปี ๒๕๕๕ กำลังย่างเข้ามา ที่ผ่านไป คืออดีต มีทั้งดี และไม่ดี สุข สมหวังผิดหวัง คละเคล้าปะปน หลายท่านที่ญาติมิตรต้องจากไป....อย่างไม่มีวันกลับ...นี้คือความเที่ยงแท้ของชีวิต ตามหลักความจริง ตามหลักธรรมชาติ เพราะเรา..ท่านยังก้าวไม่พ้นใน วัฏฏะสงสาร   เมื่อแต่ละปีผ่านไป ความมากด้วยประสบการณ์ ของแต่ละท่านก็มากขึ้น รอยประสบการณ์ปรากฏให้เห็นชัด แต่อยากฝากท่านผู้แวะมาเยี่ยมชมด้วยความเคารพทุกท่านว่า ชีวิตของคนเรานั้นสั้นนัก อย่าคิดว่ายังเด็กอยู่ อย่าคิดว่ายังหนุ่ม ยังสาวอยู่ ยังไม่แก่ ยังไม่ตายง่ายหรอก ยังอีกนาน ถ้าท่านคิดยังอย่างนี้อยู่ ท่านคิดผิด? พระพุทธเจ้าองค์ศาสดาของศาสนาพุทธ ท่านสอนว่า อย่าประมาท ฝากให้ทุกท่านไว้เป็นแง่คิด ก็ขอให้ศึกษานิเทศก์ทุกท่านและเพื่อนครูที่รักทุกคนมีความสุขในวันปีใหม่...ตลอดปี ๒๕๕๔ และเจอกันอีกครั้งในปีใหม่ครั้งหน้า ๒๕๕๖  ครับ ...
                                                             อภิชาติ ศรีภาค์                           
                                               ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๔

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สิ้นแล้ว...กำลัง

สิ้นแล้ว..กำลัง
                   ยามเมื่อรัก รักกันปานจะกลืน      แสนสุขชื้นวันวานผ่านเร็วไฉน
          แม้จะเดินเยื้องย่างแห่งหนใด                 ก็คอยชิดคอยใกล้มิคลาดคลา
                   พอคืนวันผินผันผ่านเลยล่วง         ที่โชติช่วงด้วยรักเริ่มเหือดหาย
          กลับทิ้งนางต่อสู้อยู่เดียวดาย                  มีลูกชายตัวน้อยเจ้าคอยตาม
                   กระเสือกกระสนดิ้นรนเลี้ยงชีวิต    ถักพลาสติกพวงกุญแจ เฝ้าเร่ถาม
          เข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้เช้าเย็นยาม          ให้ครั้นคร้ามอนาคตที่มืดมัว
                   พวงกุญแจที่เร่ขายหมายเลี้ยงชีพ   เพื่อยืดชนยังชีพ..มิใช่ชั่ว
          แต่สังคมทุกวันเห็นแก่ตัว                      สิ้นแรงคว้าเป็นลม...ล้มกลางเมือง
                                                                                   ฅนจร
                                                                            ๑ มีนาคม ๒๕๓๙  
                   ความเป็นมา  อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่เท่าไรจำไม่ได้ แต่เป็นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๓๙ เป็นภาพเป็นข่าวในกรุงเทพฯเมืองหลวง ข่าวเสนอว่า มีแม่ลูกออกเร่ขายพวงกุญแจ และผู้เป็นแม่เป็นลมที่ริมถนน เนื่องจากความหิว  ก็ให้อเนจอนาถใจกับภาพข่าวที่เห็น ถ้าสังคมไทยเราเกื้อกูลช่วยเหลือกันเหมือนแต่ก่อน ปัญหาอย่างนี้อาจจะไม่มีให้เห็น แต่ด้วยสภาพสังคมแบบดั้งเดิม (ปฐมภูมิ) กำลังล่มสลาย ความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของคนไทย แตกต่างกันมากมาย เหมือนกราฟแท่ง สูง : ต่ำ อัตราหรือช่องว่างห่างกันมากเราจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร เพื่อผู้ยากจนเหล่านั้นโดยเฉพาะในระบบเศรษฐกิจแบบ “ไหใหญ่ล้น ไหน้อยบ่เต็ม”ของไทยในปัจจุบัน
               ภาพประกอบจากเว็ป "พุทธทำนาย"

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คำพ่อสอน


              วันที่ ๕ ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันเฉลิมพระชนม์พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทางราชการได้กำหนดให้เป็น วันพ่อแห่งชาติซึ่งพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงสร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศไทยเพื่อพสกนิกรชาวไทยของพระองค์มาโดยตลอด จึงขอน้อมนำเอาพระบรมราชดำรัสบางช่วง บางตอน ที่เกี่ยวกับ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ได้ทรงพระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย มานำเสนอในยุคสมัยวัตถุนิยม...
                   ...ในสมัยปัจจุบันอาชีพเพาะปลูกนี้มีความสำคัญมาก เพราะการเพาะปลูกนี้เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตมนุษย์ ถ้าเราไม่มีการเพาะปลูกก็จะไม่มีวัตถุดิบที่จะมาเป็นอาหาร หรือเป็นเครื่องนุ่งห่ม หรือเป็นสิ่งก่อสร้าง ฉะนั้นต้องทำการกสิกรรม...
                   (พระราชดำรัสพระราชทานแก่ผู้นำสหกรณ์การเกษตรและสหกรณ์นิคม ณ ศาลาดุสิดาลัย เมื่อวันที่พฤหัสบดีที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๑)
                   ...ข้าพเจ้ามีโอกาสได้ศึกษาการทดลองและทำนามาบ้าง และทราบดีว่าการทำนานั้นมีความยากลำบากอยู่มิใช่น้อย จำเป็นจะต้องอาศัยพันธุ์ข้าวที่ดี และต้องใช้วิชาการต่าง ๆ ด้วยจึงจะได้ผลเป็นล่ำเป็นสันอีก ประการหนึ่ง ที่นานั้นเมื่อสิ้นฤดูทำนาแล้ว ควรปลูกพืชอื่น ๆ บ้าง เพราะจะเพิ่มรายได้ให้อีกไม่ใช่น้อย ทั้งจะช่วยให้ดินร่วน ช่วยเพิ่มปุ๋ยกากพืช ทำให้ลักษณะเนื้อดินดีขึ้น เหมาะสำหรับจำทำนาในฤดูต่อไป....
                   (พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชพระราชทานแก่กลุ่มชาวนา  พฤษภาคม ๒๕๐๔)
                   ....ข้าวต้องปลูก เพราะอีก ๒๐ ปี ประชากรอาจจะ ๘๐ ล้านคน ข้าวจะไม่พอถ้าลดการปลูกข้าวไปเรื่อย ๆ ข้าวจะไม่พอ เราจะต้องซื้อข้าวจากต่างประเทศ เรื่องอะไร ประชาชนคนไทยไม่ยอม คนไทยนี้ต้องมีข้าว แม้ข้าวที่ปลูกในเมืองไทยจะสู้ข้าวที่ปลูกในต่างประเทศไม่ได้ เราก็ต้องปลูก...
(พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จพระราชดำเนิน
ทอดพระเนตร โครงการโคกกูแวจังหวัดนราธิวาส พ.ศ.๒๕๓๖)
...ธนาคารข้าวให้มีคณะกรรมการควบคุมที่คัดเลือกจากราษฎรในหมู่บ้าน เป็นผู้เก็บ
รักษา พิจารณาจำนวนข้าวที่จะให้ยืมและรับข้าวคืน ตลอดจนจัดทำบัญชีทำการของธนาคารข้าว ราษฎรที่ต้องการข้าวไปใช้บริโภคยามจำเป็นให้คงบัญชียืมข้าวไปใช้จำนวนหนึ่ง..
                   เมื่อสามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้แล้วก็นำมาคืนธนาคาร พร้อมด้วยดอกเบี้ย(ข้าว) จำนวนเล็กน้อยตามแต่ตกลงกัน ซึ่งข้าวเป็นดอกเบี้ยดังกล่าวก็จะเก็บรวบรวมไว้ในธนาคารและถือเป็นสมบัติของส่วนรวม...ราษฎรต้องร่วมมือกันสร้างยุ้งที่แข็งแรง ทั้งนี้ หากปฏิบัติตามหลักการที่วางไว้ จำนวนข้าวที่หมุนเวียนในธนาคารจะไม่มีวันหมด แต่จะค่อย ๆ เพื่อจำนวนขึ้น และจะมีข้าวสำหรับการบริโภคตลอดไปจนถึงลูกหลาน ในที่สุดธนาคารข้าวจะเป็นแหล่งรักษาผลประโยชน์ของราษฎรในหมู่บ้าน และเป็นแหล่งอาหารสำรองของหมู่บ้านด้วย...
                   (พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่ราษฎรชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๑๙)
                   พระราชดำรัสและพระราชโอวาทที่นำเสนอในที่นี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งทึ่ทรงพระราชทานให้แก่ประชาชนชาวไทย นำมาซึ่ง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในกาลต่อมา  เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนได้หันกลับมามองตัวเอง หาจุดที่ตัวเองอยู่ ดูฐานะ เพื่อพัฒนาชีวิตตนเองและครอบครัวตามฐานะของแต่ละท่านแต่ละคน ไม่หลงฟุ้งเฟ้อ ไม่เบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนธรรมชาติ และอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล...ขอพระองค์ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
(ที่มาจากหนังสือ ๘๔ คำสอนของพ่อ สิ่งที่ในหลวงมอบให้ปวงชนชาวไทย)

วันพฤหัสบดีที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อานิสงส์ของศีล ๕

           ศีล ๕ หรือ เบญจศีล เป็นหลักธรรมประจำ สังคมมนุษย์ และเป็นหลักธรรมประจำสังคมที่มีมาก่อนพุทธกาลแล้ว ปรากฏใน จักวัตติสูตร ต่อเมื่อ พระโคดมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นและประกาศ พุทธศาสนา ก็ทรงยอมรับเอาข้อห้ามห้าประการตาม จักวัตติสูตร มาสั่งสอนในพุทธศาสนาอย่างแพร่หลาย เรียกว่า "ศีล" บ้าง "สิกขาบท" บ้าง เหตุที่เบญจศีลเป็นหลักธรรมสำหรับอุ้มชูโลก จึงได้รับสมญาต่าง ๆ อาทิ สมญาว่า "มนุษยธรรม" คือ ธรรมของมนุษย์ กล่าวคือ เมื่อมนุษย์รักษาธรรมะห้าประการนี้แล้ว โลกหรือสังคมก็จะสงบสุข (วิกิพีเดีย)

อานิสงส์ของการรักษาศีล ๕
            อานิสงส์ของการรักษาศีล ๕ กล่าวไว้ในวิธีสร้างบุญบารมีพระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก กล่าวไว้ว่า
๑.      ผู้ที่รักษาศีลข้อ ๑ ด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลข้อนี้ เมื่อน้อมนำมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะทำให้มีพลานามัยแข็งแรง ปราศจากโรคภัย ไม่ขี้โรค อายุยืนยาว ไม่มีศัตรูเบียดเบียนให้ต้องบาดเจ็บ ไม่มีอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่จะทำให้บาดเจ็บ หรือสิ้นอายุเสียก่อนวัยอันสมควร
๒.      ผู้ที่รักษาศีลข้อ ๒ ด้วยการไม่ถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่เจ้าของมิได้เต็มใจให้ ด้วยเศษของบุญที่นำมาเกิดเป็นมนุษย์ย่อมทำให้เกิดในตระกูลที่ร่ำรวย การทำมาหาเลี้ยงชีพในภายหน้ามักจะประสบช่องทางที่ดี ทำมาค้าขึ้นและมั่งมีทรัพย์ ทรัพย์สมบัติไม่วิบัติหายนะไปด้วยภัยต่าง ๆ เช่นอัคคีภัย วาตภัย โจรภัย ฯลฯ
๓.      ผู้ที่รักษาศีลข้อ ๓ ด้วยการไม่ล่วงประเวณีในคู่ครองหรือคนในปกครองของผู้อื่น ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลข้อนี้เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะประสบโชคดีในความรัก มักได้พบรักแท้ที่จริงจังและจริงใจ ไม่อกหัก อกโรย และอกเดาะ ครั้นเมื่อมีบุตรธิดา ก็ว่านอนสอนง่ายไม่ดื้อด้านไม่ถูกผู้อื่นหลอกลวงฉุดคร่า อนาจารไปทำเสียหาย บุตรธิดาย่อมเป็นอภิชาตบุตรซึ่งจะนำเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูล
๔.      ผู้ที่รักษาศีลข้อ ๔ ด้วยการไม่กล่าวมุสา ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลข้อนี้ เมื่อนำมาเกิดเป็นมนุษย์ จะทำให้มีเป็นผู้มีที่มีสุ่มเสียงไพเราะ พูดจามีน้ำมีนวลชวนฟัง มีเหตุมีผล ชนิดที่เป็น พุทธวาจา มีโวหารปฎิภาณไหวพริบในการเจรจา จะเจรจาความสิ่งใดก็มีผู้เชื่อฟังและเชื่อถือ สามารถว่ากล่าวสั่งสอนบุตรธิดาและศิษย์ให้อยู่ในโอวาทได้ดี  
๕.      ผู้ที่รักษาศีลข้อ ๕ ด้วยการไม่ดื่มสุราเมรัย เครื่องหมักดองของมึนเมา ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลข้อนี้ เมื่อนำมาเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมทำให้เป็นผู้ที่มีสมอง ประสาท ปัญญา ความคิดแจ่มใส จะศึกษาเล่าเรียนสิ่งใดแตกฉาน และทรงจำได้ง่ายไม่หลงลืมฟั่นเฟือนเลอะเลือน ไม่เสียสติ วิกลจริต ไม่เป็นโรคสมอง โรคประสาท ไม่ปัญญาทราม ปัญญาอ่อนหรือปัญญานิ่ม
              เพื่อนครูที่รักทุกท่านครับ 
                           "ชีวิตของเราจะตายวัน ตายพรุ่งไม่มีใครรู้ แต่ตอนที่เรายังมี ชีวิตอยู่ได้่พบพระพุทธศาสนา ได้เจอคำสอนของพระพุทธเจ้า้ ถ้าไม่จะขวนขวายฝึกฝนตนเอง ก็น่าเสียดายในชีวิตที่เกิดมา เพราะถ้าเราได้เกิดอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์หรือไม่ หรือถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่รู้ว่าหลักธรรมคำสั่งสอนของพุทธองค์จะหลงเหลืออยู่หรือเปล่า ดังนั้นอย่าได้โปรดชะล่าใจ ฝึกฝนเจริญสมาธิเพื่อให้ได้สติปัญญาติดตัวไป เพื่อเป็นเสบียงบุญ(ทรัพย์ภายใน)ไว้เดินทางในภพภูมิหน้า...  
               สุดท้าย ก็คงจะฝากเพื่อนครูทุกท่าน ถือว่าเป็นภาระที่คุณครูเราต้องรับสำหรับงานสร้างคน ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ในยุคของความมุสา แต่อย่างน้อยก็ควรจะปฏิบัติให้ได้ครบทั้ง ๕ ข้อ นะครับ